เรื่องถิ่นเดิมของชาติพันธุ์ลาวมีแนวคิด
2 อย่าง
ซึ่งก็มีเหตุผลสนับสนุนพอ
ๆ กันคือ
1.
ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานที่เอง
ไม่ได้อพยพมาจากไหน
ถ้าเหมาว่าคนบ้านเชียงคือลาว
ก็แสดงว่าลาวมาตั้งหลักแหล่งที่บ้านเชียงมากกว่า
5600 ปีมาแล้ว
เพราะอายุหม้อบ้านเชียงที่พิสูจน์โดยวิธีคาร์บอน
14
บอกว่าหม้อบ้านเชียงอายุเก่าแก่ถึง
5600 ปี
กว่าคนบ้านเชียงจะเริ่มตีหม้อใช้ในครัวเรือน
ก็ต้องสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยก่อนหน้านั้นแล้ว
แนวความคิดนี้ยังบอกอีกว่านอกจากลาวจะอยู่อีสานแล้ว
ยังกระจายไปอยู่ที่อื่นอีก
เช่น เวียดนาม
จีน ญี่ปุ่น
ยุโรป
แล้วข้ามไปอเมริกาเป็นพวกอินเดียนแดง
2.
ถิ่นเดิมของลาวอยู่ที่อีสานและมีมาจากที่อื่นด้วย
(อภิศักดิ์
โสมอินทร์. 2540 :
69)
แนวคิดนี้เชื่อว่า
คนอีสานน่าจะมีอยู่แล้วในดินแดนที่เรียกว่า
“อีสาน”
หรือส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ
โดยประมาณ 10,000
– 7,000
ปีที่ผ่านมา
นักมานุษยวิทยา
และนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าได้มีการอพยพของพวกละว้า
หรือข่าลงมาอยู่ในแดนสุวรรณภูมินับเป็นคนพวกแรกที่เข้ามา
พอเข้ามาอยู่สุวรรณภูมิก็แบ่งเป็นอาณาจักรใหญ่
ๆ 3 อาณาจักร
คือ
อาณาจักรทวารวดี
ซึ่งมีนครปฐมเป็นราชธานี
มีอาณาเขตถึงเมืองละโว้(ลพบุรี)
อาณาจักรที่สองคือโยนก
เมืองหลวงได้แก่เมืองเงินยาง
หรือเชียงแสน
มีเขตแดนขึ้นไปถึงเมืองชะเลียงและเมืองเขิน
อาณาจักรที่สามค้อโคตรบูรณ์
ได้แก่บรรดาชาวข่าที่มาสร้างอาณาจักรในลุ่มน้ำโขง
มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองโคตรบูรณ์
ซึ่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจากแนวคิดที่
2
จะเห็นว่าในคำรวมที่นักมานุษยวิทยา
และนักประวัติศาสตร์เรียกว่า
“คนอีสาน”
นั้นน่าจะมีคนหลายกลุ่มหลายชาติพันธุ์ปะปนกันอยู่และในหลายกลุ่มนั้นน่าจะมีกลุ่มชาติพันธุ์
“ลาว”อยู่ด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับหลักฐานจากงานเขียนของนักวิชาการบางคนที่กล่าวว่า
หลังจากพวกละว้าหรือพวกข่าหมดอำนาจลง
ดินแดนอีสานก็ถูกครอบครองโดยขอมและอ้ายลาว
ต่อมาขอมก็เสื่อมอำนาจลง
ดินแดนส่วนนี้จึงถูกครอบครองโดยอ้ายลาวมาจนถึงปัจจุบัน
ถ้าเป็นอย่างนี้จริงจึงกล้าสรุปได้ว่า
“อ้ายลาว”
ก็คือกลุ่มชาติพันธุ์ลาวนั่นเอง
อ้ายลาวเป็นสาขาหนึ่งของมองโกลเดิม
อยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียงและแม่น้ำเหลือง
ก่อนที่จะอพยพเข้าครอบครองอีสานนั้นได้รวมตัวกันตั้งเมืองสำคัญขึ้น
3เมือง คือ
นครลุง
นครเงี้ยว
และนครปา
ต่อมากลุ่มอ้ายลาวเกิดสู้รบกับจีน
สาเหตุเพราะจีนมาแย่งดินแดน
อ้ายลาวสู้จีนไม่ได้จึงอพยพลงใต้ถอยร่นลงมาเรื่อย
ๆ
จนกระทั่งมาตั้งอาณาจักรอยู่บริเวณยูนานในปัจจุบัน
มีเมืองแถนเป็นศูนย์กลางสำคัญ
แต่ก็ยังถูกรุกรานแย่งชิงจากจีนไม่หยุดหย่อน
อ้ายลาวจึงอพยพลงมาตั้งอาณาจักรใหม่อีก
คือ
อาณาจักรหนองแส
มีขุนบรมวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอ้ายลาวเป็นผู้ปกครองขุนบรมขึ้นครองราชย์
พ.ศ.1272
ได้รวบรวมผู้คนเป็นปึกแผ่น
และส่งลูกหลานไปครองเมืองต่าง
ๆ
ในบริเวณนั้นลูกหลานที่ส่งไปครองเมืองมี
7 คน คือ
1. ขุนลอ
ครองเมืองชวา
คือ
หลวงพระบาง
2.
ขุนยีผาลาน
ครองเมืองหอแตหรือสิบสองพันนา
3.
ขุนสามจูสง
ครองเมืองปะกันหรือหัวพันทั้งห้าทั้งหก
4. ขุนไขสง
ครองเมืองสุวรรณโดมคำ
5. ขุนงัวอิน
ครองเมืองอโยธยา
(สุโขทัย)
6. ขุนลกกลม
ครองเมืองมอญ
คือ หงสาวดี
7. ขุนเจ็ดเจือง
ครองเมืองเชียงขวางหรือเมืองพวนพี่น้องอ้ายลาวทั้ง
7
ปกครองบ้านเมืองแบบเมืองพี่เมืองน้องมีอะไรก็ช่วยเหลือเจือจุนกันโดยยึดมั่นในคำสาบานที่คำสัตย์ปฏิญาณร่วมกันว่า
“ไผรบราแย่งแผ่นดินกันขอให้ฟ้าผ่ามันตาย”สำหรับ
กลุ่มอ้ายลาวนี้น่าจะเกี่ยวโยงเป็นกลุ่มเดียวกับคนชาติพันธุ์ลาวในอีสาน
น่าจะเป็นกลุ่มลาวเชียงและลาวเวียง
คือ
กลุ่มจากอาณาล้านนา
(ลาวเชียง)
และกลุ่มจากอาณาจักร
ล้านช้าง (ลาวเวียง)
ในพุทธศตวรรษที่
17-18
เริ่มตั้งแต่สร้างเมืองชวาหรือเมืองหลวงพระบาง
มีกษัตริย์ปกครองติดต่อกันมาถึง
22 องค์
กษัตริย์องค์หนึ่งคือพระเจ้าเงี้ยว
ได้กำเนิดลูกชายคือพระเจ้าฟ้างุ้ม
พระเจ้าฟ้าลุ้ม
เกิดมามีฟันเต็มปาก
เสนาอำมาตย์ในราชสำนักเห็นเป็นอาเพศจึงทูลให้พระบิดานำไป
“ล่องโขง”
คือลอยแพไปตามลำน้ำโขง
มีพระเขมรรูปหนึ่งพบเข้าเกิดเมตตาเอาพระเจ้าฟ้างุ้มไปชุบเลี้ยงจนเติบใหญ่แล้วถวายตัวในราชสำนักเขมรพระเจ้าฟ้างุ้มได้รับการศึกษาอบรมอย่างองค์ชายเขมร
และทรงเป็นราชบุตรเขยของกษัตริย์เขมรด้วย
เมื่อพระเจ้าฟ้าเงี้ยวสิ้นพระชนม์
เจ้าฟ้าคำเสียวผู้เป็นน้องชายขึ้นครองราชย์แทน
พระเจ้าฟ้างุ้มจึงยกทัพจากเขมรทวงราชสมบัติของบิดาคืน
สามารถโจมตีเมืองหลวงพระบางได้
เจ้าฟ้าคำเลียวเสียทีแก่หลานสู้ไม่ได้
น้อยใจจึงกินยาพิษตาย
เจ้าฟ้าลุ้มจึงขึ้นครองเมืองหลวงพระบางเมื่อ
พ.ศ. 1896
ทรงพระนามว่า
“พระยาฟ้างุ้มแหล่งหล้าธรณี” พระเจ้าฟ้างุ้มเป็นกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถมาก
เป็นนักรบผู้กล้าหาญชาญฉลาด
ในช่วงนั้นอาณาจักรสุโขทัยมีพระมหาธรรมราชาลิไทเป็นกษัตริย์
พระเจ้าฟ้างุ้มได้ขยายอำนาจแผ่ไปถึงญวน
ลงมาถึงส่วนหนึ่งของเขมรตอนล่างและเข้ามาสู่ดินแดนอีสานได้อพยพผู้คนจากเวียงจันทน์มาอยู่บริเวณเมืองหนองหาน
และหนองหานน้อยประมาณ
10,000 คน
พระเจ้าฟ้างุ้มครองราชย์และแผ่แสนยานุภาพเรื่อยมาจนถึงสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่
1 (พระเจ้าอู่ทอง)
แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าฟ้างุ้มคิดแผ่แสนยานุภาพเข้าครอบครองกรุงศรีอยุธยา
ทำให้พระเจ้าอู่ทองต้องเจรจาหย่าศึกโดยอ้างความเป็นญาติร่วมวงศ์ขุนบรมเดียวกันว่า
“เฮาหากแมนอ้ายน้องกันมาแต่ขุนบรมพุ้น
หากเจ้าเป็นลูกหลานขุนบรมจริง
เฮาอย่ามารบราฆ่าฟันกันเลย
ดินแดนส่วนที่อยู่เลยดงสามเส้า
(ดงพญาไฟ
ไปจดภูพระยายาฝอและแดนเมืองนครไทยให้เป็นของเจ้า
ส่วนที่อยู่เลยดงพญาไฟลงมาให้เป็นของข้อย
แล้วจัดส่งลูกสาวไปจัดที่อยู่ที่นอนให้”
(ทองสืบ
ศุภมารค:
อ้างใน
สมเด็จพระสังฆราชลาวง2528:43)พระเจ้าอู่ทองยัง
ได้ส่งช้างพลาย
51 เชือก
ช้างพัง 50
เชือก
เงินสองหมื่น
นอแรดแสนนอ
กับเครื่องบรรณาการอื่น
ๆ
อีกอย่างละ
100
ให้แก่พระเจ้าฟ้างุ้ม
จากหลักฐานนี้อาณาจักรลานช้างจึงมีอำนาจครอบครองดินแดนอีสาน
ยกเว้นเมืองนครราชสีมาที่ยังคงเป็นอิสระอยู่เพราะในหนังสือ
“ King of Laos ”
ระบุว่าในปี
ค.ศ. 1385
อาณาเขตกรุงล้านช้างทางทิศตะวันตกติดต่อกับโคราช(นครราชสีมา)
ดินแดนอีสานส่วนใหญ่ตกอยู่ในอำนาจของพระเจ้าฟ้างุ้มเรื่อยมาจนถึงสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
(ลาวเขียนไชยเสฏฐามหาราช)
ขึ้นครองราชย์ระหว่าง
พ.ศ.2091-2114
ได้ย้ายเมืองหลวงจากหลวงพระบางมาอยู่เวียงจันทน์
พระองค์ได้ทำสัญญาพันธมิตรกับสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
และทั้งสองได้สร้างพระธาตุศรีสองรัก
ที่อำเภอด่านซ้าย
จังหวัดเลย
เป็นเขตแดนระหว่างสองอาณาจักร
กษัตริย์องค์นี้ได้สร้างวัดองค์ดื้อ
และศาสนสถานต่าง
ๆ
ในเขตเมืองหนองคาย
และบูรณะพระธาตุพนมด้วย
จึงอาจกล่าวได้ว่า
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชสนใจดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงมากกว่าสมัยก่อน
ๆ ต่อมาในปี
พ.ศ. 2250
ได้เกิดการแก่งแย่งอำนาจขึ้นในลาว
ทำให้ลาวถูกแบ่งออกเป็น
2 อาณาจักร
มีหลวงพระบางและเวียงจันทน์เป็นศูนย์กลาง
และในปี พ.ศ. 2256
อาณาเขตเวียงจันทน์ทางใต้ได้ถูกแบ่งแยกโดยเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร
(เจ้าหน่อกษัตริย์)
มีเมืองนครจำปาศักดิ์เป็นเมืองหลวง
ผู้ครองนครจำปาศักดิ์ได้ส่งจารย์แก้ว
(เจ้าแก้วมงคล)
มาเป็นเจ้าเมืองท่งหรือเมืองทุ่ง
ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ
จังหวัดร้อยเอ็ด
นับว่านครจำปาศักดิ์ได้ขยายอำนาจเข้ามาสู่ลุ่มแม่น้ำมูล
– ชี ตอนกลาง
เวลาต่อมาลูกหลานเจ้าเมืองท่งหรือเมืองสุวรรณภูมิได้สร้างเมืองต่าง
ๆ
ในดินแดนอีสานมากกว่า
15 เมือง (อภิศักดิ์
โสมอินทร์. 2540 :
71) เช่น
สุวรรณภูมิ
ร้อยเอ็ด
ศรีสะเกษ
มหาสารคาม
ชนบทขอนแก่น
ฯ ล
ฯต่อมาเกิดความไม่ลงรอยแตกแยกกัน
ระหว่างกลุ่มขุนนางและกษัตริย์ลาวผู้คนได้อพยพหนีภัยการเมืองจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้าสู่อีสานเหนือ
กลุ่มสำคัญได้แก่
กลุ่มเจ้าผ้าขาว
โสมพะมิตร
กลุ่มนี้อพยพผู้คนมาตั้งอยู่ริ่มน้ำปาว
คือ
บ้านแก่งส้มโฮง
(สำโรง)
เจ้าโสมพะมิตรได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่
1 ที่กรุงเทพ
ฯ
เพื่อถวายความจงรักภักดี
และเนื่องจากมีกำลังคนถึง4,000
คน รัลกาลที่
1
จึงโปรดเกล้าให้ยกบ้านแก่งส้มโฮงเป็นเมืองกาฬสินธุ์ขึ้นตรงต่อกรุงเทพและเจ้าโสมพะมิตรได้รับบรรดาศักดิ์เป็น
“พระยาไชยสุนทร”
เจ้าเมืองกาฬสินธุ์
กลุ่มพระวอพระตา
พระวอพระตาเป็นเสนาบดีลาว
เกิดขัดใจกษัตริย์เวียงจันทน์
อพยพผู้คนข้ามโขงมาอยู่ที่หนองบัวลุ่มภูซึ่งเป็นเมืองอยู่ก่อนแล้ว
ตั้งชื่อเมืองว่า
“นครเขื่อนขันฑ์กาบแก้วบัวบาน”
แต่ได้ถูกกองทัพลาวตามตีจนพระตาตายที่รบ
ส่วนพระวอได้พาบริวารไพร่พลหนีลงไปตามลำแม่น้ำโขงจนถึงดอนมดแดง
และต่อมาลูกหลานของพระวอได้ขอตั้งเป็นเมืองอุบลราชธานี
และเมืองยโสธร
กลุ่มท้าวแล
ท้าวแลและสมัครพรรคพวกได้อพยพหนีภัยการเมืองจากเวียงจันทน์
มาอยู่ในท้องที่เมืองนครราชสีมา
ต่อมาได้ย้ายไปทางตอนเหนือแล้วขอตั้งเป็นเมืองชัยภูมิ
ท้าวแลได้รับโปรดเกล้าให้เป็นเจ้าเมือง
มีบรรดาศักดิ์ว่า
“พระภักดีชุมพล”
ต่อมาได้เลื่อนเป็น
“พระยาภักดีชุมพล”การตั้งบ้านเมืองในดินแดนอีสานตั้งแต่พุทธศตวรรษ
24-25
หรือตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
จนถึงสมัยรัชกาลที่
5
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีเมืองต่าง
ๆ
เกิดขึ้นมากกว่า
100 เมือง
มีแบบแผนการปกครองตามแบบหลวงพระบาง
เวียงจันทน์
และจำปาศักดิ์คือมีตำแหน่งอาชญาสี่คือ
เจ้าเมือง
อุปฮาด
ราชวงศ์
ราชบุตร
ส่วนเมืองในเขตอีสานใต้คือนครราชสีมาและหัวเมืองเขมรป่าดง
ได้ใช้แบบแผนการปกครองแบบกรุงเทพ
ฯ
คือมีเจ้าเมือง
ปลัดเมือง
ยกกระบัตรเมือง
และผู้ช่วยราชการเมืองจากหลักฐานของลาวสามารถหาได้กลุ่มชาติพันธุ์ลาว
ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอีสานมานานแล้ว
จึงสรุปได้ว่า
คนในท้องถิ่นอีสาน
หรือบริเวณนี้เป็นเชื้อสายลาว
ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน
สืบทอดสายธารทางประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
และตลอดไปในอนาคตอีกนานเท่านาน
วัฒนธรรมการแต่งกาย
เผ่าไทยลาว(ไทยอีสาน)
นิยมผ้าฝ้ายมาแต่เดิม
และพัฒนาผ้าฝ้ายเป็นการทอผ้ามัดหมี่ลวดลายต่าง
ๆ
แหล่งผ้าฝ้ายที่มีมานานแล้วคือกลุ่มบ้านวาใหญ่
อำเภออากาศอำนวยจังหวัดสกลนคร
ซึ่งมีชื่อเสียงในการทอผ้าย้อมสีธรรมชาติจากเปลือกไม้
ใบไม้
แก่นไม้ผ้าซิ่นแขนกระบอกผ้ายย้อมคราม
หรือมัดหมี่
เป็นที่นิยมของชนเผ่าไทยลาวกลุ่มที่แต่งกายแบบดั้งเดิมจริง
ๆ
นิยมแต่งด้วยผ้าย้อมครามทั้งเสื้อและผ้าซิ่น
แต่ไม่สวยเด่นเท่าผ้ามัดหมี่
เพราะมีสีดำมือทั้งตัว
การพัฒนาการของการทอผ้ามัดหมี่
ทำให้ไทยลาวในปัจจุบันสามารถทอผ้าลายหมี่คั่นหลายสี
เช่น
สีเหลือง
สีแดง
และนิยมสีฉูดฉาด
นอกจากนี้ชาวเผ่าไทยลาวยังนิยมทอผ้าห่ม
ผ้าจ่องลวดลายสวยงาม
ซึ่งสามารถปรับแต่งมาเป็นผ้าสไบโชว์ลวดลายของผ้าประกอบเสื้อผ้าได้เป็นอย่างดี
เครื่องประดับของชาวเผ่าไทยลาวนิยมเครื่องเงินเช่นเดียวกับกลุ่มอื่น
ผ้าซิ่น ในขณะที่เอกลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง
ๆ
กลุ่มผู้ไทย
กลุ่มย้อ
กลุ่มกะเลิง
แต่เดิมนิยมผ้าซิ่นมีเชิงในตัวที่เรียกว่า
ซิ่นตีนเต๊าะ
แต่เผ่านี้กลับนิยมซิ่นไม่มีเชิงทั้งที่เป็นผ้าเข็น(ทอ)
และผ้ามัดหมี่ฝ้าย
หรือไหม
เสื้อ แบบเสื้อของชนเผ่าไทยลาว
แม้เสื้อจะเป็นเสื้อย้อมสีน้ำเงินแก่
แบบเสื้อคล้ายกับชนเผ่าอื่น
ๆ
แต่เนื่องจากเป็นชนเผ่าที่กระจายอยู่ในที่ต่าง
ๆ
และรับเอาวัฒนธรรมจากภาคกลางได้รวดเร็วจึงทำให้เผ่าไทยลาวมีแบบเสื้อแตกต่างไปจากชนเผ่าอื่น
ๆ เช่น
เสื้อแขนกระบอก
คือทอจากผ้าแพรตกแต่งให้มีจีบมีระบาย
สวมสร้อยที่เป็นรัตนชาติ
เช่น มุก
มากกว่าการสวมสร้อยเงิน
สอดชายเสื้อในซิ่นหมี่ไหม
คาดด้วยเข็มขัดเงิน
จุดเด่นอีกประการหนึ่งของชนเผ่าไทยลาว
คือการนิยมผ้าขะม้าทั้งชายและหญิง
ผ้าขะม้า(ขาวม้า)
ที่งดงามคือผ้าใส่ปลาไหล
มีสีเขียว-แดง-เหลือง
ตามแนวยาวไม่ใช่เป็นตาหมากรุก
ซึ่งเป็นผ้าสมัยใหม่
ผ้าใส่ปลาไหลสามารถคัดแปลงเป็นผ้าคล้องคอ
ผ้าสไบของสตรีในการเสริมแต่งกายให้งดงามขึ้น |